วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

อิมเพรสชันนิซึมยุคหลัง

อิมเพรสชันนิซึมยุคหลัง



จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี




“ร้อยปีแห่งความมีอิสระ” โดยอ็องรี รูโซ ค.ศ. 1892
ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง (อังกฤษ: Post-Impressionism) เป็นคำที่คิดขึ้นโดยศิลปินและนักวิจารณ์ศิลปะชาวอังกฤษโรเจอร์ ฟราย (Roger Fry) ในปี ค.ศ. 1910 เพื่อบรรยายศิลปะที่วิวัฒนาการขึ้นในฝรั่งเศสหลังสมัยเอดัวร์ มาแน จิตรกรอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังยังคงสร้างงานศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ แต่ไม่ยอมรับความจำกัดของศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ จิตรกรสมัยหลังจะเลือกใช้สีจัด เขียนสีหนา ฝีแปรงที่เด่นชัดและวาดภาพจากของจริง และมักจะเน้นรูปทรงเชิงเรขาคณิตเพื่อจะบิดเบือนจากการแสดงออก นอกจากนั้นการใช้สีก็จะเป็นสีที่ไม่เป็นธรรมชาติและจะขึ้นอยู่กับสีจิตรกรต้องการจะใช้ลักษณะทั่วไป
จิตรกรอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังมีความไม่พึงพอใจต่อความจำกัดของหัวเรื่องที่วาดของศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ และแนวความคิดของปรัชญาที่เริ่มจะสูญหายไปของขบวนการเขียนของอิมเพรสชันนิสม์ แต่จิตรกรกลุ่มนี้ก็มิได้มีความเห็นพ้องกันถึงทิศทางใหม่ที่ควรจะดำเนินต่อไปข้างหน้า ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา (Georges-Pierre Seurat) และผู้ติดตามนิยมการเขียนโดยวิธีผสานจุดสี (pointillism) ซึ่งเป็นการเขียนที่ใช้จุดสีเล็ก ๆ ในการสร้างภาพเขียน ปอล เซซานพยายามสร้างกฎเกณฑ์และความมีระเบียบของศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ให้เป็นรูปเป็นทรงขึ้นเพื่อจะทำให้ “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์เป็นศิลปะที่มั่งคงและคงยืนตลอดไป เช่นเดียวกับศิลปะที่แสดงในพิพิธภัณฑ์”[1] การสร้างกฎเกณฑ์การเขียนของเซซานทำด้วยการลดจำนวนสิ่งของในภาพลงไป จนเหลือแต่รูปทรงที่เป็นแก่นสำคัญแต่ยังเซซานยังคงรักษาความจัดของสีที่ใช้แบบศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ จิตรกรอิมเพรสชันนิสม์กามีย์ ปีซาโรทดลองการเขียนแบบใหม่โดยการวาดแบบอิมเพรสชันนิสม์ใหม่ ระหว่างกลางคริสต์ทศวรรษ 1880 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1890 เมื่อไม่พอใจที่ถูกเรียกว่าเป็นจิตรกรอิมเพรสชันนิสม์แบบจินตนิยม ปีซาโรก็หันไปหาการเขียนไปเป็นแบบผสานจุดสีซึ่งปีซาโรเรียกว่าเป็นศิลปะอิมเพรสชันนิสม์แบบวิทยาศาสตร์ ก่อนที่กลับไปเขียนภาพแบบอิมเพรสชันนิสม์แท้ตามเดิมในช่วงสิบปีสุดท้ายก่อนที่จะเสียชีวิต[2] ฟินเซนต์ ฟาน ก็อกฮ์ ใช้สีเข้มสดและฝีแปรงที่ขดม้วนอย่างมีชีวิตจิตใจเพื่อสื่อความรู้สึกและสถานะภาพทางจิตใจของตนเอง แม้ว่าจิตรกรอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังมักจะแสดงงานร่วมกันแต่ก็ยังไม่มีความคิดเห็นพ้องกันในแนวทางของขบวนการเขียน จิตรกรรุ่นเด็กกว่าระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1890 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขียนงานในบริเวณที่แตกต่างออกไปและในแนวการเขียนที่ต่างออกไปเช่นลัทธิโฟวิสม์และลัทธิบาศกนิยม

 ที่มาและความหมายของ “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง”

คำว่า “อิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” เป็นคำที่เริ่มใช้ในปี ค.ศ. 1910 โดยศิลปินและนักวิพากษ์ศิลป์ชาวอังกฤษโรเจอร์ ฟราย สำหรับการแสดงงานศิลปะของจิตรกรฝรั่งเศสสมัยใหม่ที่จัดขึ้นในลอนดอน จิตรกรส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมอายุน้อยกว่าจิตรกรอิมเพรสชันนิสม์ ต่อมาฟรายให้คำอธิบายในการใช้คำว่า “อิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” ว่าเป็นการใช้ “เพื่อความสะดวก ที่จำเป็นต้องตั้งชื่อให้ศิลปินกลุ่มนี้โดยใช้ชื่อที่มีความหมายกว้างที่ไม่บ่งเฉพาะเจาะจงถึงแนวเขียน ชื่อที่เลือกก็คือ “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” เพื่อเป็นการแสดงการแยกตัวของศิลปินกลุ่มนี้แต่ยังแสดงความสัมพันธ์บางอย่างกับขบวนการอิมเพรสชันนิสม์เดิม”[3]
"อิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง" กระตุ้นอารมณ์ผ่านความรู้สึกลึกๆภายในมากกว่าต้องการแสดงศักยภาพหรือความสามารถ กระแสศิลปะนี้หันไปตอบสนองความต้องการตามทัศนคติของตัวศิลปิน รับแรงบันดาลใจจากเรื่องของการค้นหาหมายของชีวิต และอุทิศผลงานเพื่อความผาสุกของเหล่ามวลมนุษย์ ศิลปินโพสต์อิมเพรสชันนิสม์เชื่อว่าจิตวิญญาณกับธรรมชาติแยกออกจากกันแต่นำมาเชื่อมโยงกันผ่านการสังเคราะห์ด้วยการหลอมรวมจิตวิญญาณของศิลปินกับธรรมชาติ ผ่านผลงานไปสู่ผู้ชม ศิลปินเสนอภาพจากภายในไม่ใช่เพียงการลอกเลียนแบบความงามของธรรมชาติ แสดงเนื้อหาสำคัญอย่างนามธรรม ด้วยอารมณ์ที่เป็นอิสระ ไม่ยึดติดกับรูปแบบ รูปทรง หรือสีตามสิ่งที่ตาเห็น
จอห์น เรวอลด์ (John Rewald) ที่เป็นนักประวัติศาสตร์ศิลปะอาชีพคนแรกที่มีความสนใจในการกำเนิดของศิลปะสมัยใหม่ในระยะแรกที่จำกัดอยู่ในระยะเวลาของ “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” ที่นิยมกันระหว่าง ค.ศ. 1886 ถึงค.ศ. 1892 ในหนังสือ “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง: จากฟาน ก็อกฮ์ถึงโกแก็ง” (ค.ศ. 1956) เรวอลด์เห็นว่าเป็นขบวนการที่ต่อเนื่องจากหนังสือที่เขียนก่อนหน้านั้น “ประวัติของศิลปะอิมเพรสชันนิสม์” (ค.ศ. 1946) และให้ข้อสังเกตว่าเป็น “ฉบับที่อุทิศให้แก่สมัยหลังของศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง”[4]—“ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง: จากโกแก็งถึงมาติส” เป็นเล่มที่ตามมาแต่เล่มนี้รวมศิลปะแนวอื่นที่แตกหน่อมาจากศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ด้วย” และจำกัดเวลาระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เรวอลด์เน้นความสนใจกับการวิวัฒนาการของศิลปินอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังในระยะแรกในฝรั่งเศส: ฟินเซนต์ ฟาน ก็อกฮ์, ปอล โกแก็ง, ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา, โอดีลง เรอดง (Odilon Redon) และความสัมพันธ์ต่อกันในกลุ่ม และรวมถึงกลุ่มศิลปินอื่นที่ศิลปินกลุ่มนี้ให้ความสนใจหรือต่อต้าน:
นอกจากนั้นในบทนำใน “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” เรวอลด์เกริ่นเนื้อหาที่จะเขียนในเล่มสองที่จะรวมอ็องรี เดอ ตูลูซ-โลแทร็ก, อ็องรี รูโซ (Henri Rousseau), กลุ่มเลเนบีส์ (Les Nabis) ปอล เซซาน และลัทธิโฟวิสม์, ปาโบล ปีกัสโซ และการเดินทางครั้งสุดท้ายของโกแก็งไปทะเลไต้; ที่จะมีเนื้อคลอบคลุมอย่างน้อยจนถึงคริสต์ทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่เรวอลด์ไม่มีโอกาสเขียนเล่มสองเสร็จ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดกระแสอิมเพรสชั่นนิสม์สมัยหลัง

  • การเมือง ลัทธิชาตินิยม ตามมาซึ่งความต้องการแผ่อำนาจ และยึดครองรัฐต่างๆ, สังคมนิยม
  • สังคม เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนมองโลกในแง่ร้าย เกิดปัญหาเรื่องระดับทางสังคม ในระบบทุนนิยม คนชนชั้นแรงงานถูกกดขี่
  • ปรัชญาและความเชื่อแนวใหม่ ปรัชญาของMarx and Engels , อนาธิปไตย (Anarchy) ความคิดและความเชื่อที่รุนแรงเกิดจากความกดดัน, ทฤษฎีแห่งปรัชญาที่ว่าคนนั้นเป็นอิสระ(Existentialism) การค้นพบทฤษฎีเรื่องจิตวิเคราะห์ของFreud , ศาสตร์แห่งการใช้การสังเคราะห์ (Synthesism)
  • วิทยาศาสตร์ การค้นพบเรื่องสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของ Dalton, ทฤษฎีวิวัฒนาการของDarwin

การจัดช่วงเวลา


คามิลล์ ปีซาโร, เกี่ยวฟางที่เอรานยี ค.ศ. 1889, งานสะสมส่วนบุคคล
เรวอลด์กล่าวว่าคำว่า “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” เป็นคำที่ตั้งขึ้นเพื่อความสะดวกและมิได้มีความหมายเฉพาะเจาะจงถึงลักษณะการเขียนแต่อย่างใด และเป็นคำที่ใช้ที่จำกัดเฉพาะทัศนศิลป์ของฝรั่งเศสที่วิวัฒนาการมาจากศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ตั้งแต่ ค.ศ. 1886 วิธีเขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังของเรวอลด์เป็นการเขียนตามที่เกิดขึ้นมิใช่เป็นการวิจัยลักษณะของศิลปะ เรวอลด์ทิ้งไวให้ศิลปะเป็นเครื่องตัดสินตัวเองในอนาคต[4] คำอื่นเช่นสมัยใหม่นิยม (Modernism) หรือลัทธิสัญลักษณ์นิยมก็เป็นคำที่ยากที่จะใช้เพราะเป็นคำที่ไม่เฉพาะเจาะจงกับศิลปะแต่ครอบคลุมสาขาวิชาอื่นด้วยเช่นวรรณกรรมหรือสถาปัตยกรรมและเป็นคำที่ขยายออกไปใช้ในหลายประเทศ
  • ลัทธิสัญลักษณ์นิยม เป็นขบวนการที่เริ่มร้อยปีต่อมาในฝรั่งเศสและเป็นนัยว่าเป็นแนวที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล จิตรกรต่างก็ใช้สัญลักษณ์ในการเขียนไม่ว่าอย่างใดก็อย่างหนึ่งมากบ้างน้อยบ้าง
แอแลน โบวเนส (Alan Bowness) ยืดเวลา “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” ไปจนถึง ค.ศ. 1914 แต่จำกัดการเขียนในฝรั่งเศสลงไปอย่างมากในคริสต์ทศวรรษ 1890 ประเทศยุโรปอื่น ๆ ใช้มาตรฐานของ “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” ส่วนศิลปะของยุโรปตะวันออกไม่รวมอยู่ในกลุ่มนี้
แม้ว่า “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” จะแยกจาก “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์” ใน ค.ศ. 1886 แต่จุดจบของ “ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” ยังไม่เป็นที่ตกลงกัน สำหรับโบวเนสและเรวอลด์แล้ว ลัทธิคิวบิสม์เป็นการเริ่มยุคใหม่ ฉะนั้นลัทธิคิวบิสม์จึงถือว่าเป็นการเริ่มยุคการเขียนใหม่ในฝรั่งเศสตั้งแต่ต้นและต่อมาในประเทศอื่น ขณะเดียวกันศิลปินยุโรปตะวันออกไม่คำนึงถึงการแบ่งแยกตระกูลการเขียนที่ใช้ในศิลปะตะวันตกก็ยังเขียนตามแบบที่เรียกว่าจิตรกรรมแอ็บสแตร็ค และอนุตรนิยม (Suprematism)—ซึ่งเป็นคำที่ใช้ต่อมาจนในคริสต์ศตวรรษที่ 20

ศิลปินสำคัญในกระแสอิมเพรสชันนิซึมยุคหลัง

  • ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา (Georges-Pierre Seurat)
  • ฟินเซนต์ ฟาน ก็อกฮ์ (Vincent van Gogh)
  • เออแฌน อ็องรี ปอล โกแก็ง (Paul Gauguin)
  • อ็องรี รูโซ (Henri Julien Félix Rousseau)
  • อ็องรี เดอ ตูลูซ-โลแทร็ก (Henri Marie Raymond de Toulouse-Lautrec-Monfa)
  • หลุยส์ อ็องเกอแต็ง (Louis Anquetin)
  • ปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso)
  • อ็องรี มาติส (Henri Matisse)
  • วาสสิลี เคนดินสกี(Wassily Kandinsky)

 สรุป

“ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง” ตามความหมายของเรวอลด์จึงเป็นคำที่หมายถึงช่วงเวลาของประวัติศิลปะเท่านั้นที่เน้นงานศิลปะของฝรั่งเศสระหว่าง ค.ศ. 1886 ถึงปี ค.ศ. 1914

อ้างอิง

  1. ^ Impressionism, 1973, p. 222.
  2. ^ Cogniat, 1975, pp. 69–72.
  3. ^ Gowing, p. 804.
  4. ^ 4.0 4.1 Rewald 1978, p. 9.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น